วิธีการสอนแบบตรง
(Direct
Method)

ที่มา: https://www.slideshare.net/Ayeshabashir1990/direct-method-of-language-teaching
วิธีการสอนแบบตรง
(Direct
Method)
บทนำ
วิธีสอนภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศย่อมมีวิวัฒนาการไปตามวัตถุประสงค์
เพื่อตอบสนองสภาพเหตุการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง
โดยได้รับอิทธิพลหรือแนวคิดมาจากนักภาษาศาสตร์ นักจิตวิทยา
และนักการเมืองของวิธีสอนต่างๆ
นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่ครูผู้สอนต้องศึกษาเรียนรู้
เพื่อจะได้นำมาปรับใช้ในการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามวิธีสอนแต่ละวิธีย่อมมีข้อดีข้อเสียหรือข้อจำกัดอยู่ในตัว และไม่มีการสอนวิธีใดที่สมบูรณ์ที่สุด
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของครูผู้สอนที่จะต้องพยามศึกษาและทำความเข้าใจ
เพื่อพิจารณาเลือกสรรส่วนดีของวิธีสอนแต่ละวิธีมาประสมประสานกันเพื่อนำมาใช้ให้เหมาะสมกับบทบาทของผู้เรียน และตามจุดมุ่งหมายของผู้สอนที่ตั้งไว้
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้สอนควรศึกษาวิธีการสอนภาษาต่างประเทศแบบต่างๆ ในที่นี้จะขอนำเสนอเกี่ยวกับการสอนแบบตรง
แนวคิดพื้นฐาน
ในศตวรรษที่ 19 เริ่มมีการปฏิรูปทฤษฎีการเรียนรู้ทางภาษาโดยให้ความสนใจกับการเรียนรู้ภาษาตามแนวธรรมชาติคือ
มีความคิดที่จะพยายามสอนภาษาที่สองเหมือนกับการสอนภาษาที่หนึ่ง นักภาษาศาสตร์หลาย
ๆ คนเชื่อว่าการสอนภาษาต่างประเทศไม่มีความจำเป็นต้องแปลเป็นภาษา
ที่หนึ่งถ้าผู้สอนรู้จักที่จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจโดยการสาธิตและแสดงท่าทาง
จากเหตุผลที่ไม่ใช้ภาษาที่หนึ่ง
ในชั้นเรียนจึงทำให้วิธีสอนแบบตรงมีปัญหาเรื่องครูสอน
เพราะครูผู้สอนวิธีนี้จะเป็นครูที่เป็นเจ้าของภาษา
เนื่องจากครูที่ไม่ใช้เจ้าของภาษามีข้อจำกัดในการใช้ภาษาเป้าหมายตลอดเวลาจึงหาครูที่มีความสามารถเช่นนี้
ไม่ค่อยง่ายนัก
และการหลีกเลี่ยงไม่ใช้ภาษาที่หนึ่งเลยบางทีก็เกิดผลเสียบางครั้งการใช้ภาษาที่หนึ่ง
อธิบายเพียงสั้น ๆ
อาจทำให้ผู้เรียนเกิดความกระจ่างและช่วยให้เกิดการเรียนรู้ทางภาษาได้เร็วกว่าใช้ภาษาที่สอง
นอกจากนั้นการที่ผู้สอนใช้ภาษาเป้าหมายตลอดเวลาในชั้นเรียนทำให้ผู้เรียนเกิดความคับข้องใจ
(frustration)
ด้วยข้อจำกัดดังกล่าวจึงเป็นเหตุให้นักภาษาศาสตร์พัฒนาวิธีสอนใหม่ขึ้นมาคือ
วิธีสอนแบบฟัง-พูด (audio-lingual method)
การสอนแบบตรงเกิดขึ้นในยุโรประหว่างปี
1850-1900 เป็นวิธีแรกหลังจากเกิดการปฏิรูปทางด้านการสอนภาษาต่างประเทศเนื่องจาก
นักภาษาศาสตร์เห็นว่าวิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปลมิได้ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร
ดังนั้นจุดมุ่งหมายของการสอนแบบตรงคือมุ่งให้ผู้เรียนใช้ภาษาเพื่อการติดต่อสื่อสาร
บทเรียนส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยกิจกรรมที่เป็นบทสนทนา เพื่อเปิดโอกาส
ให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาในสถานการณ์ต่าง ๆ
ผู้เรียนจะถูกกระตุ้นให้ใช้ภาษาต่างประเทศที่กำลังเรียนอยู่ตลอดเวลา
โดยไม่มีการใช้ภาษาของผู้เรียนเลยเวลาสอนผู้สอนจะพยายามสร้างสภาพแวดล้อมในห้องเรียน
ให้เหมือนสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้ภาษาต่างประเทศผู้สอนจะใช้ภาษาต่างประเทศตลอดเวลา
ไม่มีการเน้นสอนไวยากรณ์จะไม่มีการบอกกฎไวยากรณ์อย่างชัดเจน
แต่การเรียนรู้ไวยากรณ์จะเรียนรู้อยากตัวอย่างและการใช้ภาษา แล้วสรุปกฎเกณฑ์
ถึงแม้จะมีการฝึกทักษะทั้ง 4 คือ ฟัง-พูด อ่าน
เขียน แต่การฝึกทักษะพูดเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดทักษะอ่าน
และเขียนจะมีพื้นฐานมาจากการพูดก่อน
วิธีสอนแบบนี้เน้นการรู้วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของผู้พูดภาษานั้น ๆ ด้วย วิธีสอนแบบตรงบางครั้งเรียกว่าวิธีสอนตามธรรมชาติ
(natural method)
จอยส์ และวีล (Joyce
and Weil, 1996: 334) อ้างว่า
มีงานวิจัยจำนวนไม่น้อยที่ชี้ให้เห็นว่า การสอนโดยมุ่งเน้นการให้ความรู้ที่ลึกซึ้ง
ช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกว่ามีบทบาทในการเรียน
ทำให้ผู้เรียนมีความตั้งใจในการเรียนรู้และช่วยให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียน
นอกจากนั้นยังพบว่า บรรยากาศการเรียนที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้เรียน
สามารถสกัดกั้นความสำเร็จของผู้เรียนได้ ดังนั้น ผู้เรียนจึงจำเป็นต้องระมัดระวัง
ไม่ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกในทางลบ เช่น การดุด่าว่ากล่าว การแสดงความไม่พอใจ
หรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้เรียน
ลักษณะสำคัญ
1.
ใช้ภาษาเป้าหมายเท่านั้น
2. ผู้เรียนจะถูกฝึกให้ใช้ภาษาเป้าหมายที่เป็นภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน
3. ผู้เรียนถูกกระตุ้นให้คิดเป็นภาษาเป้าหมาย
4. ทักษะแรกที่เน้นคือทักษะพูดแล้วจึงพัฒนาทักษะอ่านและเขียน
5. การสอนศัพท์ ควรสอนความหมายจากบริบทที่คำศัพท์นั้นปรากฏในประโยค
ไม่ควรสอนแบบแยกส่วน
6. การสอนกฎไวยากรณ์ควรสอนหลังจากที่เรียนตัวอย่างภาษาในเนื้อเรื่องแล้ว
7. หลีกเลี่ยงการสอนแบบแปล
วัตถุประสงค์
รูปแบบการเรียนการสอนนี้มุ่งช่วยให้ได้เรียนรู้ทั้งเนื้อหา
สาระ และมโนทัศน์ต่าง ๆ รวมทั้งได้ฝึกปฏิบัติทักษะต่าง ๆ
จนสามารถทำได้ดีและประสบผลสำเร็จได้ในเวลาที่จำกัด
กระบวนการเรียนการสอน
การเรียนการสอนของรูปแบบนี้ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ
ๆ 5 ขั้นดังนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นนำ
1.1 ผู้สอนแจ้งวัตถุประสงค์ของบทเรียนและระดับการเรียนรู้
หรือพฤติกรรมการเรียนรู้ที่คาดหวังแก่ผู้เรียน
1.2 ผู้สอนชี้แจงสาระของบทเรียน
และความสัมพันธ์กับความรู้และประสบการณ์เดิมของผู้เรียนอย่างคร่าวๆ
1.3 ผู้สอนชี้แจ้งกระบวนการเรียนรู้ และหน้าที่รับผิดชอบของผู้เรียนในการเรียนแต่ละขั้นตอน
ขั้นที่ 2 ขั้นนำเสนอบทเรียน
2.1 หากเป็นการนำเสนอเนื้อหาสาระ
ข้อความรู้หรือมโนทัศน์ผู้สอนควรกลั่นกรองและกลัดคุณสมบัติเฉพาะของมโนทัศน์เหล่านั้น
และนำเสนออย่างชัดเจนพร้อมทั้งอธิบายและยกตัวอย่างประกอบให้ผู้เรียนเข้าใจ
ต่อไปจึงสรุปคำนิยามของมโนทัศน์เหล่านั้น
2.2 ตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ก่อนให้ผู้เรียนลงมือฝึกปฏิบัติ
หากผู้เรียนยังไม่เข้าใจ ต้องสอนซ่อมเสริมให้เข้าใจก่อน
ขั้นที่ 3 ขั้นฝึกปฏิบัติตามแบบ (structured
practice)
ผู้สอนปฏิบัติให้ผู้เรียนดูเป็นตัวอย่าง
ผู้เรียนปฏิบัติตาม ผู้สอนให้ข้อมูลป้อนกลับ
ให้การเสริมแสงหรือแก้ไขข้อผิดพลาดของผู้เรียน
ขั้นที่ 4 ขั้นปฏิบัติภายใต้การกำกับของผู้ชี้แนะ
(guided
practice)
ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง โดยผู้สอนคอยดูแลอยู่ห่างๆ
ผู้สอนจะสามารถประเมินการเรียนรู้และความสามารถของผู้เรียนได้จากความสำเร็จและความผิดพลาดของการปฏิบัติของผู้เรียน
และช่วยเหลือผู้เรียน โดยให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อให้ผู้เรียนแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ
ขั้นที่ 5 การฝึกปฏิบัติอย่างอิสระ (independent
practice)
หลังจากที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติตามขั้นที่
4 ได้ถูกต้องประมาณ 85-90 % แล้ว ผู้สอนควรปล่อยให้ผู้เรียนปฏิบัติต่อไปอย่างอิสระ
เพื่อช่วยให้เกิดความชำนาญและการเรียนรู้อยู่คงทน ผู้สอนไม่จำเป็นต้องให้ข้อมูลป้อนกลับในทันที
สามารถให้ภายหลังได้การฝึกในขั้นนี้ไม่ควรทำติดต่อกันในครั้งเดียว
ควรมีการฝึกเป็นระยะ ๆ เพื่อช่วยให้การเรียนรู้อยู่คงทนขึ้น
ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
การเรียนการสอนแบบนี้
เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ตรงไปตรงมา ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทั้งทางด้าน พุทธิพิสัย
และทักษะพิสัยได้เร็วและได้มากในเวลาที่จำกัด
ไม่สับสนผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติตามความสามารถของตน จนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์
ทำให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียน และมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
ขั้นตอนการสอน
1. ฟังและอ่านบทสนทนา
2. สอนคำศัพท์
โดยใช้ภาษาเป้าหมาย
3. ถามคำถามเพื่อเช็คความเข้าใจ
4. สรุป
5.
ทำแบบฝึกหัด :
เขียนตามคำบอก, เติมคำในช่องว่าง, บทความ
เทคนิคการสอน
1. การอ่านออกเสียง
2. แบบฝึกหัด
ถาม-ตอบ
3. นักเรียนรับข้อมูลที่ถูกต้อง
โดยแก้ไขให้ถูกต้อง
4. ฝึกบทสนทนา
5. แบบฝึกหัด
: เติมคำในช่องว่าง
6. เขียนตามคำบอก
7. Mind
Map
8. การเขียนหน้า
ข้อดี
1. ผู้เรียนมีโอกาสได้ฝึกสนทนาโดยใช้ภาษาต่างประเทศ
2. เป็นวิธีสอนที่สอดคล้องกับกับเรียนภาษาแบบธรรมชาติ
เพราะเน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกฟัง-พูด จนชำนาญเสียก่อน
ก่อนไปสู่ทักษะการอ่านและการเขียน
3. ผู้เรียนได้เรียนภาษาที่คล้ายภาษาแม่
เพราะมีการใช้ภาษาในชั้นเรียนตลอดเวลา
4. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนตลอดเวลา
ทำให้ผู้เรียนไม่รู้สึกเบื่อและมีทัศนคติต่อการเรียนภาษาต่างประเทศ
5. ถ้าฝึกนาน ๆ
ผู้เรียนจะใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมายได้
6.
ได้เรียนรู้ภาษาแบบเดียวกับการเรียนรู้ภาษาของตนเอง
7. ช่วยให้ผู้เรียนคุ้นกับภาษาที่เรียนได้เร็ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเรียนระดับต้นๆ
ข้อเสีย
1. ผู้สอนต้องมีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาของผู้เรียน
การอธิบายนามธรรมอาจเสียเวลา และผู้เรียนเข้าใจผิด
2. การสอนวิธีนี้จะไม่มีการสรุปกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ให้แก่ผู้เรียน
ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเข้าใจสับสน
หรือเข้าใจผิดโดยเอาภาษาแม่เข้ามาใช้ปนกับภาษาต่างประเทศ
3. ผู้สอนจะต้องเป็นเจ้าของภาษา
หรือผู้ที่มีความถนัดในภาษาที่สอน
4. การสอนด้วยวิธีนี้ผู้เรียนต้องไม่มากจนเกินไป
กล่าวคือ ประมาณ 10-20 คน
จะต้องได้รับการเรียนอย่างต่อเนื่องเพื่อจะได้ฝึกอย่างเต็มที่
5. เมื่อผู้เรียนไม่เข้าใจก็ไม่กล้าถาม
เพราะไม่มีความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารที่ตัวเองต้องการได้
ตัวอย่างการสอนแบบตรง (Direct Method)
ที่มา: www.SPEAK4kids.eu English for KIDS with SPEAK DIRECT Method
เรียนรู้เพิ่มเติม : https://www.youtube.com/channel/UClbd3ODV9DUjBVzrluuBSyA